พัฒนาองค์กรให้มีขีดสมรรถนะสูง

           สำนักงาน ก.พ.ร. โดยสำนักงานเลขาธิการ ร่วมกับกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร จัดการประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ให้กับข้าราชการภายในสำนักงาน ในหัวข้อ “องค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูง” โดยได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเป็นวิทยากรบรรยาย และพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พร้อมตอบปัญหาคาใจในการทำงานเกี่ยวกับการบริหารงานเชิงกลยุทธ์ ซึ่งกิจกรรมนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2549 ณ ห้องประชุม ก.พ.ร. ชั้น 5 สำนักงาน ก.พ.ร.

           รศ.ดร.พสุ เกริ่นนำว่า การจะพิจารณาว่าองค์กรใดเป็น องค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูง หรือ องค์กรที่มีความเป็นเลิศ นั้น หากเป็นภาคธุรกิจเอกชน จะพิจารณาได้ไม่ยาก โดยดูจากผลประกอบการและผลการดำเนินงาน ซึ่งต้องดีต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน ไม่ใช่เพียงปีเดียว รวมทั้งรางวัลต่าง ๆ ที่องค์กรได้รับ เช่น รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) รางวัลคุณภาพแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา (Malcolm Baldrige National Quality Award : MBNQA) เป็นต้น

           สำหรับในภาคราชการนั้น อาจพิจารณาได้ยากกว่าภาคเอกชน เพราะไม่สามารถวัดจากผลกระกอบการได้ แต่หากจะพิจารณาความเป็นเลิศของส่วนราชการแล้ว ก็น่าจะอยู่ที่การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ และพันธกิจได้ดี


องค์ประกอบขององค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูง
 

           จากการศึกษาแนวคิดต่าง ๆ ที่กล่าวถึงคุณลักษณะหรือองค์ประกอบของการเป็น องค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูง (High Performance Organization : HPO) พบว่า แต่ละแนวคิดจะเกี่ยวข้องกับการวางแผน การปฏิบัติ และการติดตามผล ซึ่งหากองค์การสามารถบริหารจัดการใน 3 ส่วนนี้ได้ดี ก็จะทำให้องค์กรมีผลประกอบการดี และนำไปสู่การเป็นองค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูงได้

           ดังนั้น จึงสามารถสรุปกรอบแนวคิดหลักของการเป็น องค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูง ได้ว่า การบริหารยุทธศาสตร์ เป็นปัจจัยที่จะนำองค์กรไปสู่ความเป็นองค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูง ซึ่งการบริหารยุทธศาสตร์ มี 3 องค์ประกอบ คือ
           1. การกำหนดยุทธศาสตร์ (Strategy Formulation)
           2. การแปลงยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ (Strategy Implementation and Operational Excellence)
           3. การประเมินผลและติดตามการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ (Strategy Measurement and Evaluation)

1. การกำหนดยุทธศาสตร์ (Strategy Formulation)
           แนวทางในการกำหนดยุทธศาสตร์มี 4 องค์ประกอบ คือ
           1.1 การวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์
           1.2 การกำหนดทิศทาง
           1.3 การวางยุทธศาสตร์
           1.4 การสื่อสารและถ่ายทอดยุทธศาสตร์

2. การแปลงยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ (Strategy Implementation and Operational Excellence)
           ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ คือ

           2.1 Strategic Alignment หรือ การทำให้เกิดความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ กล่าวคือ ในการจะทำให้ยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้เกิดผลในการปฏิบัตินั้น ต้องมีการปรับการบริหารงานภายในและองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในองค์กร เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้อง และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ซึ่งองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ เช่น
                  - โครงการและแผนงาน
                  - โครงสร้างและกระบวนการทำงาน
                  - สมรรถนะและความสามารถของบุคลากร
                  - วัฒนธรรมและค่านิยมในการทำงาน
                  
- ความรู้และระบบข้อมูล
                  - การประเมินผลในทุกระดับ (เพื่อให้เกิด Accountability)
                  - การจูงใจและผลตอบแทน

           2.2 Strategic Capability เป็นความสามารถที่องค์กรควรจะมี ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะทำให้ยุทธศาสตร์ถูกขับเคลื่อนและเกิดการปฏิบัติ เช่น
                  - ทักษะ ความสามารถของผู้บริหาร
                  - ความมุ่งมั่นของผู้บริหารในการแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ
                  - การมีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์
                  - นวัตกรรมและความยืดหยุ่น
                  - การทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น
                  - การแบ่งปันความรู้ที่สำคัญภายในองค์กร

3. การประเมินผลและติดตามการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ (Strategy Measurement and Evaluation)
           ประกอบด้วย
           3.1 ระบบในการติดตามและทบทวนผล
           3.2 การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์
           ทั้งนี้ องค์กรควรนำผลที่ได้จากการติดตามประเมินผล กลับไปเป็นข้อมูลเพื่อช่วยในการกำหนดยุทธศาสตร์ในปีต่อ ๆ ไปด้วย

 

 

 

 
ความเชื่อมโยงของเครื่องมือทางการบริหารจัดการกับการบริหารยุทธศาสตร์
 

           เครื่องมือทางการบริหารจัดการต่าง ๆ ที่ภาคราชการใช้อยู่นั้น มีอยู่มากมาย ซึ่งสามารถเข้าไปช่วยในกระบวนการบริหารยุทธศาสตร์ ทั้ง 3 องค์ประกอบเพื่อให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนตนเองไปสู่การเป็นองค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูงได้ ดังนี้

           1. การกำหนดยุทธศาสตร์ (Strategy Formulation)

                                    


           2. การแปลงยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ (Strategy Implementation and Operational Excellence)


           3. การประเมินผลและติดตามการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ (Strategy Measurement and Evaluation)

 
กระบวนการบริหารจัดการโดยนำเครื่องมือต่าง ๆ มาใช้
 



           
เริ่มจาก การกำหนดยุทธศาสตร์ขององค์กร โดยการวิเคราะห์บริบทและปัจจัยต่าง ๆ แล้วนำมากำหนดเป็นวิสัยทัศน์ ทิศทางขององค์กร จากนั้นแปลงไปสู่ประเด็นยุทธศาสตร์ และเป้าประสงค์ เมื่อได้เป้าประสงค์แล้วก็นำมาจัดทำเป็น Strategy Map เพื่อให้เห็นภาพความเชื่อมโยงของเป้าประสงค์ ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถคิดเป้าประสงค์ได้ครอบคลุมทุกมิติ ทุกมุมมอง

           เมื่อได้ Strategy Map แล้ว ก็เป็นการแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ โดยนำ Strategy Map มากำหนดในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่

            กำหนดตัวชี้วัด (KPI) และ Target เพื่อใช้วัดผลว่าการดำเนินงาน
                บรรลุเป้าประสงค์หรือไม่

            พิจารณาว่า อะไรคือความเสี่ยง (Risks) หรือปัจจัยที่จะทำให้ไม่บรรลุ
                 เป้าประสงค์ โดยนำเรื่องการบริหารความเสี่ยงมาใช้

            กำหนดว่า ตำแหน่งงานใดที่เป็นตัวผลักดันให้บรรลุเป้าประสงค์ใน
                แต่ละเป้าประสงค์ และตำแหน่งงานนั้นควรจะมี Competency
                อะไรบ้าง

            กำหนดว่า ความรู้อะไรที่องค์กรต้องมีเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์
                องค์กรมีความรู้นั้นอยู่หรือไม่ และจะมีกระบวนการในการบริหาร
                ความรู้อย่างไร

            พิจารณาว่า อะไรคือโครงการสำคัญที่จะต้องผลักดันเพื่อให้เป้าประสงค์
                เกิด รวมทั้งกำหนดงบประมาณด้วย




 

            พิจารณาว่า กระบวนการหรือวิธีการทำงานในปัจจุบันสามารถทำให้บรรลุเป้าประสงค์หรือไม่ ถ้าไม่ได้ จะต้องมีการ
                ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานอย่างไร

            พิจารณาว่า วัฒนธรรมองค์กรตอบสนองต่อการทำให้เป้าประสงค์บรรลุหรือไม่

            พิจารณาระบบข้อมูลว่า มีข้อมูลที่สามารถในมาใช้ในการตัดสินใจหรือไม่

            การแปลงเป้าประสงค์ขององค์กรไปสู่ระดับหน่วยงาน และถ่ายทอดลงไปสู่ระดับบุคคล และเชื่อมโยงกับระบบในการจูงใจ
                เพื่อให้ทุกคนในองค์กรช่วยกันผลักดันในบรรลุเป้าประสงค์

           ทั้งนี้ รศ.ดร.พสุ กล่าวว่า ในการพิจารณาหรือกำหนดในเรื่องต่าง ๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องทำตามขั้นตอนดังกล่าว องค์กรอาจพิจารณาในเรื่องใดก่อนก็ได้ หรือจะทำควบคู่กันไปก็ได้ เช่น การกำหนด KPI กับการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน นอกจากนี้ ในบางเรื่อง หากองค์กรพิจารณาว่าตนมีความพร้อมอยู่แล้วและสามารถผลักดันยุทธศาสตร์ได้ ก็อาจจะไม่ต้องกำหนดขึ้นมาใหม่ เช่น หากองค์กรมีความรู้ที่พร้อมอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องกำหนดในเรื่องนี้

           จากนั้น เมื่อมีการดำเนินงานเกิดขึ้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การติดตามประเมินผล โดยพิจารณาเปรียบเทียบผลการดำเนินงานเป็นไฟเขียว-เหลือง-แดง ซึ่งเป้าประสงค์ที่มีผลการดำเนินงานออกมาเป็นสีเขียว ก็จะนำมาถ่ายทอดต่อ และแบ่งปันความรู้ร่วมกัน โดยนำเรื่อง Knowledge Management และ Best Practice Sharing เข้ามาใช้


 

 

 

           หากผลการดำเนินงานใดออกมาเป็นไฟแดง ก็จะต้องมาทำ Root Cause Analysis โดยวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา และปัจจัยที่ทำให้ไม่บรรลุผล โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ และเมื่อได้สาเหตุแล้วก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนในด้านต่าง ๆ เช่น กระบวนการ และขีดความสามารถขององค์กรและบุคลากร

           นอกจากนี้ ผลที่ได้จากการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา รวมทั้งเครื่องมืออื่น ๆ เช่น การวิเคราะห์ความเสี่ยง ก็สามารถนำกลับไปเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์บริบทและปัจจัย เพื่อนำไปสู่การกำหนดวิสัยทัศน์ ทิศทาง และยุทธศาสตร์ขององค์กรต่อไปได้

           ทั้งนี้  นอกจากกระบวนการต่าง ๆ  แล้ว การที่จะก้าวไปสู่การเป็นองค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูงได้ ยังจะต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นบริบทแวดล้อมภายนอกด้วย เช่น ทักษะ ความสามารถของผู้บริหาร ความมุ่งมันของผู้บริหาร การมีหน่วยงานรับผิดชอบในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ นวัตกรรมและความยืดหยุ่น การทำงานร่วมกับผู้อื่น การแบ่งปันความรู้ที่สำคัญภายในองค์กร

           นอกจากการบรรยายในเรื่องการบริหารงานเชิงยุทธศาสตร์แล้ว  รศ.ดร.พสุ  เดชะรินทร์ ยังได้ยกตัวอย่าง กรณีศึกษา เพื่อให้เห็นภาพความเชื่อมโยงของการนำเครื่องมือทางการบริหารจัดการต่างๆ ไปใช้ในการบริหารยุทธศาสตร์ เพื่อช่วยพัฒนาองค์กรให้มีขีดสมรรถนะสูง พร้อมตอบคำถามต่าง ๆ ที่ข้าราชการสำนักงาน ก.พ.ร. ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการบริหารงานเชิงกลยุทธ์ เพื่อเป็นแนวทางในการให้คำปรึกษากับส่วนราชการต่าง ๆ ต่อไป